ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160415/225905.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160415/225905.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224858.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160229/223279.html
ฝันร้ายสำหรับนักต่อต้านการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงกลับมาอีกแล้ว หลังจากที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่หลายสิบปี แต่การกลับมาครั้งนี้ออกจะขึงขังกังฟูมากกว่าครั้งก่อนๆ แถมมาในช่วงของรัฐบาลทหารเสียด้วย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ฝันร้ายครั้งนี้จะกลายเป็นจริง เพราะแม้แต่รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ให้สัมภาษณ์สถานีข่าวช่องหนึ่งอย่างมั่นใจว่า มีผู้เห็นด้วยให้ก่อสร้างถึง 99.99% เลยทีเดียว
ความพยายามที่จะสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ ที่เริ่มชงกันมาตั้งแต่ปี 2525 แล้ว น่าชมเชยเหลือเกินว่า ต่อให้ผ่านมานานแค่ไหน แต่ความคิดแย่ๆ นี้ก็ไม่เคยหมดสิ้นไปเสียที ทั้งที่ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีการขยับในเรื่องนี้ ฝ่ายต่อต้านก็จะกรูกันเข้ามาคัดค้านทันทีเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับ ผลัดกันรุก คุมเชิงกันมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ทันทีที่มีการปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกมา นักต่อต้านเจ้าเก่าเจ้าใหม่ก็ออกมาแสดงปฏิกิริยาทันที ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน หรือสื่อมวลชนบางแขนง
ความพยายามของฝ่ายจะสร้างกระเช้าไฟฟ้าได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถโน้มน้าวให้คนจำนวนมากเคลิบเคลิ้มไปกับผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น ด้วยข้ออ้างค่อนข้างสวยหรู และมีข้อแก้ต่างไว้ตอบคำถามฝ่ายต่อต้านที่เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ไม่ว่าข้ออ้างเรื่องเปิดโอกาสให้คนสูงอายุและคนพิการได้มีโอกาสเข้าถึงความงามของธรรมชาติในภูกระดึงอย่างเท่าเทียม การสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ข้อแก้ตัวเรื่องการไม่ทำลายป่าไม้ในกระบวนการและขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น ฯลฯ แต่ถ้าลองพิจารณาให้ถี่ถ้วนทั้งหมดมันคือ “ข้ออ้าง” เท่านั้น เหตุผลหลักคือเรื่องของการหาเงิน ดูเหมือนหน่วยงานอย่าง อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน) กระเหี้ยนกระหือรือและมาดมั่นว่า ความพยายามในครั้งนี้ต้องบรรลุผล เพราะรอเพียงขั้นตอนการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เท่านั้น ถ้าขั้นตอนนี้ผ่าน การก่อสร้างจะเริ่มต้นในทันที
วิธีคิดของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะอยู่ในภาวะวิกฤติด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สาหัสสากรรจ์ขนาดไหน ไม่ว่าจะมีตัวอย่างความหายนะที่เกิดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งแล้วแห่งเล่ามากเพียงไร แต่วิธีคิดของหน่วยงานกลุ่มนี้ก็ยังวนเวียนอยู่กับว่า จะขายภูเขา ป่าไม้ ท้องทะเล หรือแหล่งธรรมชาติใดๆ อย่างไร ที่ตรงไหนมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ มีจุดขาย หน่วยงานเหล่านี้ก็จะรุกเข้าไปเปิดพื้นที่เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำจนพินาศเป็นที่ที่ไป
หากเราติดตามเหตุผลของฝ่ายคัดค้านด้วยจิตใจที่เป็นธรรม และไม่มีอคติเกินไป ก็จะเห็นถึงความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความสำเร็จของโครงการนี้ ภูกระดึงเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวพิเศษที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศต่างจากแห่งท่องเที่ยวธรรมชาติใดๆ ในประเทศนี้ ในขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ และ อพท.คิดว่านี่คือแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่โดดเด่น เป็นจุดขายที่ขายได้ แต่นักนิยมภูกระดึงต่างนิยามและให้ความหมายของภูกระดึงในฐานะ “พื้นที่พิเศษ” ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติสมบูรณ์แบบ พื้นที่ของการพิสูจน์และทดสอบศักยภาพทางจิตใจและร่างกาย พื้นที่ของการแสวงหาความหมายให้แก่ชีวิต พื้นที่แห่งการผจญภัยและท้าทาย พื้นที่ของคนหนุ่มสาว หรือสำหรับนักนิยมภูกระดึงแบบสุดโต่ง บางคนอาจมองภูกระดึงเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ของจิตวิญญาณไปเลยก็มี แต่มีน้อยมากที่จะมองและให้ความหมายของภูกระดึงว่าเป็นแหล่งที่จะทำรายได้ในเชิงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะภูกระดึงมันยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบเกินกว่าที่ใครสักคนจะคิดเข้าไปทำมาค้าขาย แสวงหาผลประโยชน์ หากคุณมีจิตวิญญาณที่นบนอบต่อธรรมชาติจริงๆ เมื่อไปถึงภูกระดึงคุณแทบจะก้มลงกราบผืนแผ่นดินและผืนป่าแห่งนั้นเสียด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้เขียนแบบดราม่า หรือเป็นพวกโลกสวย แต่ภูกระดึงมีคุณค่าและความหมายมากกว่าเป็นแห่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เข้าถึงยาก ที่คนของรัฐคิดเพียงตรรกะง่ายๆ ว่า ถ้าทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายก็จะนำมาซึ่งรายได้มหาศาล ภูกระดึงคือตำนานการท่องเที่ยว และความทรงจำร่วมของผู้คนและสังคม มันคือพื้นที่ที่บุคคลแต่ละคนสามารถนิยามและให้ความหมายได้หลากหลายและอิสระ ภูกระดึงในหลายครั้งเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนบางคนค้นพบตัวเอง ค้นพบความหมายของชีวิต เป็นจุดสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นอะไรอีกได้ตั้งมากมาย ที่ละเอียดอ่อน งดงามและมีความหมาย หากใครสักคนลองรวบรวมความทรงจำของผู้คนที่มีโอกาสได้ขึ้นไปสัมผัสภูกระดึงมาทำเป็นหนังสือสักเล่ม ก็จะพบว่า สิ่งที่ผมกล่าวมาไม่ใช่เรื่องเกินเลย
เรามีสถานที่ท่องเที่ยวแบบฉาบฉวยและมักง่ายมากพอแล้ว การเว้นภูกระดึงเอาไว้สักที่ มันจะทำให้ชาติล่มจมมากไหม?
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160222/222892.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160219/222724.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160215/222454.html
เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งการลุ้นระทึกสำหรับครูและนักเรียน เพราะเป็นเทศกาลของการสอบโอเน็ต ไม่น่าเชื่อว่า การสอบโอเน็ตสำหรับนักเรียนไทย จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไม่ต่างอะไรกับการ “สอบจอหงวน” ของพวกขุนนางจีนโบราณไปเสียแล้ว ฤดูกาลสอบโอเน็ต เป็นช่วงที่บรรดาผู้บริหารโรงเรียนน้อยใหญ่พากันหวาดวิตก กลัวคะแนนรวมในโรงเรียนของตนจะติดอันดับรั้งท้าย ส่วนพวกนักเรียนก็ไม่ต้องได้เรียนหนังสือกันล่ะ เพราะครูจับมาติวข้อสอบ หลายแห่งมีการ “ซ้อมสอบ” เอานักเรียนมานั่งในห้องสอบ เอากรรมการคุมสอบมาคุม และสอนเรื่องการทำข้อสอบว่าต้องฝน หรือต้องกรอกข้อมูลอะไรลงไปบ้าง ทำกันขนาดนี้ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดในวันสอบจริงๆ
การสอบโอเน็ตมีชื่อรียกเต็มๆ ว่า “การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน” เป็นการทดสอบเพื่อวัดความรู้และความคิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประเมินตามมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีเนื้อหาวิชาที่สอบครอบคลุม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ผลการทดสอบจะนำไปใช้ประโยชน์หลายเรื่อง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เป็นการจัดอันดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน โดยเทียบกับมาตรฐานคะแนนระดับชาติ เรื่องนี้เองที่ทำเอาผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นครูผู้สอน ผู้บริหารพากันวิตกกังวลกันทั่วหน้า กลัวว่าผลคะแนนของเด็กๆ จะออกมาไม่ดีพอ ซึ่งเท่ากับเป็นการประจานโรงเรียนของตนนั่นเอง
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จนนำไปสู่การฉ้อโกงระดับชาติ เพราะคะแนนโอเน็ตเป็นคะแนนที่จัดอันดับความสำเร็จของโรงเรียนโดยปริยาย กลุ่มผู้บริหารไล่มาตั้งแต่ระดับจังหวัดและระดับสำนักงานเขตพื้นที่ไปจนถึงระดับผู้อำนวยการโรงเรียนจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะให้นักเรียนในสังกัด ทำคะแนนสอบให้สูงที่สุด ไม่ว่าวิธีการนั้นจะชอบมาพากลหรือไม่ ผลการสอบโอเน็ตแต่ละปี สทศ. หรือสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ จะรู้บ้างไหมว่า มีคะแนนสอบโอเน็ตของหลายจังหวัดและสำนักงานเขตพื้นที่ไม่ได้สะท้อนสภาพความเป็นจริง สทศ.เคยส่งคนมาดูบ้างหรือเปล่าว่า กระบวนการเตรียมสอบโอเน็ตของผู้บริหารและครูในระดับเขตพื้นที่นั้น ผิดเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาและการสอบโดยสิ้นเชิง เท่านั้นยังไม่พอ มันยังก่อให้เกิดขบวนการโกงการสอบ ที่ทำกันอย่างเป็นระบบ จนถึงขั้นบางแห่งให้ครูแก้ข้อสอบของนักเรียนเสียใหม่ คือไอ้ที่นักเรียนกามาในแบบทดสอบนั้น จะถูกครูที่ได้รับคำสั่งมอบหมายจากเจ้านาย ลบออก แล้วกาใหม่ เพื่อให้มีคำตอบที่ถูกมากที่สุด
เขาทำกันถึงขนาดนี้แล้วนะครับ จึงไม่แปลกที่บางสำนักงานเขตพื้นที่ จะมีคะแนนสอบโอเน็ตสูงติดอันดับของประเทศ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ กลายเป็นความภาคภูมิใจของบรรดาผู้บริหารน้อยใหญ่ ว่าผลคะแนนในเขตความรับผิดชอบของตนอยู่ระดับที่น่าพอใจ ทั้งที่ช่วยกันโกงมาแท้ๆ แม้จะมีครูผู้สอนหลายคนไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าออกมาเปิดโปงให้สังคมได้รับรู้ กลไกอำนาจของผู้บริหารมันมากล้นเสียจนข้าราชการตัวเล็กตัวน้อยไม่กล้าหือ พวกเขาจึงได้แต่หวานอมขมกลืนไปเท่านั้นเอง
การสอบโอเน็ตก็ดี การประกันคุณภาพการศึกษาก็ดี เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น มันเป็นการประเมินขีดความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียน ปัญหาก็คือ โรงเรียนจำนวนมาก ไม่ได้จัดการเรียนการสอบอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามที่หลักสูตรกำหนด เพราะมัวแต่ไปวุ่นวายกับกิจการอื่นๆ สารพัด แต่ไม่ใช่เรื่องการเรียนการสอน พอสอนไม่ครบหลักสูตร เด็กไม่มีความรู้ ความสามารถตามมาตรฐานที่กำหนด ก็ทำให้เกิดความกลัวเรื่องการสอบโอเน็ตจนขี้ขึ้นสมอง กลัวว่าผลคะแนนของนักเรียนในความรับผิดชอบของตนจะรั้งท้ายให้ขายหน้า ก็เลยคิดหาทางสารพัดวิธี เริ่มตั้งแต่จับเด็กนักเรียนมาติวเป็นแรมเดือน รวมไปถึงวิธีการที่ไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเสาะหา “เฉลย” ข้อสอบมาบอกเด็ก การให้ครูไปแก้ไขข้อสอบของนักเรียน การทำแบบนี้ มันต้องทำเป็นระบบและขั้นตอนเท่านั้นจึงจะทำได้ เอาไปเอามาการสอบโอเน็ตก็ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายที่แท้จริง
พูดเรื่องสอบโอเน็ตของประเทศนี้ จึงได้แต่รู้สึก โอ้ละหนอ โอละหน่าย พร้อมๆ กับให้อเนจอนาถใจกับการศึกษาของไทย คือดูไปดูมามันก็เลวร้ายไปเสียทั้งหมด ในขณะที่รัฐทุ่มเทงบประมาณในการจัดการศึกษาจำนวนมหาศาล แต่ผลที่มันออกมายิ่งถอยหลังเข้าคลองเข้าไปทุกวัน ตอนนี้ถ้าเทียบคุณภาพการศึกษาของไทยกับของประเทศในอาเซียน เราก็คงได้เอาปี๊บมาคลุมหัวกันเท่านั้น